วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

สมเด็จพระเอกาทศรถ

สมเด็จพระเอกาทศรถ

บันทึกเป็นฉบับร่าง
Ekatotsarotwpamok06.jpg
สมเด็จพระเอกาทศรถ

พระปรมาภิไธยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3
ราชวงศ์ราชวงศ์สุโขทัย
ครองราชย์25 เมษายน พ.ศ. 2148 -พ.ศ. 2153
ระยะครองราชย์5 ปี
รัชกาลก่อนหน้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
รัชกาลถัดไปสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์
สมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3 มีพระนามเดิมว่า พระองค์ขาว เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในสมเด็จพระมหาธรรมราชา กับพระวิสุทธิกษัตรีย์ ทรงเป็นพระอนุชาของพระสุพรรณกัลยาและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระนามเต็ม

"พระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิ สวรรยาราชาธิบดินทร์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตร นาถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวสัย สมุทัย ตโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทรา ธาดาธิบดีศรีวิบุลย คุณรุจิตรฤทธิราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศร โลกเชษฐวิสุทธิคตา มกุฎเทศมหาพุทธางกูร บรมบพิตร"

[แก้]ก่อนขึ้นครองราชสมบัติ

หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปีพ.ศ. 2127 สมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้เสด็จออกร่วมทำการรบคู่กับสมเด็จพระนเรศวร ได้โดยเสด็จในการทำศึกสงครามด้วยทุกครั้งนับแต่นั้นมาจนสิ้นรัชสมัยเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินและให้ประทับอยู่ที่พระราชวังจันทร์เกษมในกรุงศรีอยุธยา

หลังขึ้นครองราชสมบัติ

พระเอกาทศรถ จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2550) รับบทโดย พ.ต.วินธัย สุวารี

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2148 พระองค์ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร ในปีเดียวกันในรัชสมัยของพระองค์ บ้านเมืองเป็นปกติสุข เป็นที่เคารพยำเกรงแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นผลจากการที่สมเด็จพระนเรศวร และพระองค์เองได้ทรงสร้างอานุภาพ ของราชอาณาจักรอยุธยาไว้อย่างยิ่งใหญ่ มีพระราชอาณาเขตแผ่ออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่ายุคใดๆของไทย พระองค์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาทำศึกมาตลอดการครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวร จึงไม่มีพระราชประสงค์จะแผ่พระราชอาณาเขตออกไปอีก และหันมาเน้นทางการปกครองบ้านเมืองแทน

ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีชาวต่างประเทศอาศัยในกรุงศรีอยุธยาอยู่มากจึงมีการยอมรับชาวต่างชาติเข้ามาเป็นทหาร เรียกว่า ทหารอาสา โดยได้จัดแบ่งออกเป็นพวก ๆ ตามเชื้อชาติ และตามความชำนาญในการรบ เกิดหน่วยทหารอาสาขึ้นหลายหน่วย เช่น กรมอาสาญี่ปุ่น กรมอาสาจาม กรมทหารแม่นปืน (โปรตุเกส) นอกจากนั้นในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีชื่อเสียงในด้านความสามารถหล่อปืนใหญ่สำริดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้มาจากโปรตุเกสและฮอลันดา เมื่อมาผสมผสานกับขีดความสามารถ ในด้านการหล่อโลหะของไทยที่มีการหล่อ ระฆังและพระพุทธรูป ที่มีมาแต่เดิม จึงทำให้การหล่อปืนใหญ่ของไทยในครั้งนั้นเป็นที่ยกย่องชมเชยไปถึงต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่โชกุนของญี่ปุ่น ได้มีหนังสือชมเชยคุณสมบัติของปืนใหญ่ไทยเป็นอันมาก พร้อมกับขอให้ไทยช่วยหล่อปืนใหญ่ให้อีกด้วย (โชกุนของญี่ปุ่นในรัชสมัยของพระองค์คือโชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุ)

พระราชโอรสและพระราชธิดา

สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ และมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทราชา (จดหมายเหตุวัน วลิตกล่าวว่า พระองค์ทรงครองราชย์สมบัติมีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม)พระศรีศิลป์และพระองค์ทอง ไม่ปรากฏว่าทรงมีพระราชธิดา


พ.ศ.๒๑๓๓
หลักจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ได้แปดเดือน พม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา โดยมีพระมหาอุปราชาเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาพะสิมและพระยาพุกาม เป็นกองหน้า ยกทัพมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระนเรศวร ฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงยกทัพไปรับศึกที่เมืองสุพรรณบุรี ฝ่ายพม่าเสียที พระยาพุกามเสียชีวิต พระยาพะสิม ถูกจับได้ พระมหาอุปราชา บาดเจ็บต้องถอนทัพกลับไป

๒๙ กรกฎาคม ๒๑๓๓
วันขึ้นครองราชย์ของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พ.ศ.๒๑๓๕
สงครามไทย – พม่า คราวสงครามยุทธหัตถี พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่า ทรงให้พระมหาอุปราชา ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง โดยยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงยกทัพไปรอรับทัพพม่าที่หนองสาหร่าย สมเด็จพระนเรศวร ฯ ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ทรงฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าว สิ้นพระชนม์บนคอช้าง พม่าต้องถอยทัพกลับไป พระแสงของ้าวนี้ต่อมามีนามว่า พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย

๒๕ มกราคม ๒๑๓๕
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะจาก สมเด็จพระมหาอุปราชา พร้อมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ชัยชนะจากมางจาชะโร ณ พื้นที่ระหว่าง ตำบลตระพังตรุ จังหวัดกาญจนบุรี กับ ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาทางราชการได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็น วันกองทัพไทยตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นมา

พ.ศ.๒๑๓๖
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกกองทัพไปตีเขมร ทรงตีหัวเมืองรายทางไปจนถึงเมืองละแวกเมืองหลวงของเขมร จับนักพระสัตถา กษัตริย์เขมรได้

พ.ศ.๒๑๔๒
สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นแม่ทัพไปปราบปรามความไม่สงบที่เมืองเชียงใหม่

พ.ศ.๒๑๔๒
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพบกและทัพเรือ เพื่อไปตีกรุงหงสาวดี ได้ทรงปราบหัวเมืองมอญอยู่สามเดือน แล้วจึงยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี แต่ทางพระเจ้าตองอูได้อพยพผู้คน และพระเจ้านันทบุเรง ไปตั้งมั่นอยู่เมืองตองอู พระเจ้ายะไข่ปล้นสดมภ์ และเผาเมืองหงสาวดีหมดสิ้นจนเป็นเมืองร้าง ก่อนที่สมเด็จพระนเศวร ฯ จะยกไปถึง สมเด็จพระนเรศวร ฯ ยกทัพตามไปล้อมเมืองตองอู แต่ตีไม่ได้ เนื่องจากขาดเสบียงต้องยกทัพกลับ

พ.ศ.๒๑๔๗
สมเด็จพระเอกาทศรถ ยกทัพไปช่วยเมืองแสนหวี แคว้นไทยใหญ่

๑๖ พฤษภาคม ๒๑๔๘
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพไปตีเมืองอังวะ ขณะที่พระองค์เสด็จไปถึงเมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) ซึ่งเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขต พระองค์ทรงพระประชวร เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ เมื่อพระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ครองราชย์อยู่ ๑๕ ปี

๒๒ กันยายน ๒๑๕๑
สมเด็จพระเอกาทศรถ โปรดให้ทูตานุทูตอัญเชิญพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการไปเจริญ ทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ามอริสในราชวงศ์ ออเรนซ์ แห่งประเทศฮอลันดา นับเป็นคณะทูตไทยคณะแรกที่เดินทางไปทวีปยุโรป

พ.ศ.๒๑๕๓
พระเจ้าเจมส์ที่ ๑ แห่งอังกฤษ ได้มีพระราชสาส์นถึงพระเจ้าทรงธรรม เพื่อขอพระบรมราชานุญาตให้พ่อค้าชาวอังกฤษเข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาได้สะดวก

๒๓ มิถุนายน ๒๑๕
เรือสำเภาอังกฤษชื่อ โกลบ เดินทางมาถึงปัตตานี นับเป็นเรืออังกฤษลำแรกที่เดินทางมาไทยในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ

๑๗ กันยายน ๒๑๕๕
พ่อค้าอังกฤษคนแรกซึ่งเดินทางโดยเรือ Globe เข้าเฝ้าสมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่อถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่อังกฤษและไทยมีความสัมพันธ์กัน

พ.ศ.๒๑๖๕
พม่ายกทัพมาตีเมืองทวาย อันเป็นเมืองท่าสำคัญเมืองหนึ่งทางทิศตะวันตกของไทยได้

๑๒ ธันวาคม ๒๑๗๑
พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เมื่อพระชนม์พรรษาได้ ๓๘ มีพระราชโอรส ๓ องค์ คือ พระเชษฐาธิราชกุมาร พระพันปีศรีศิลป์ และพระอาทิตยวงศ์ แต่จดหมายเหตุ วันวลิตว่ามีราชโอรส ๙ องค์ พระราชธิดา ๘ องค์

พ.ศ.๒๑๗๕
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พร้อมทั้งหมู่พระราชนิเวศน์และวัดชุมพลนิกายารามขึ้นที่บางปะอิน อันเป็นที่ประสูติ ไว้สำหรับเป็นที่แปรพระราชฐาน

พ.ศ.๒๑๘๑
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดเกล้า ฯ ให้จัดพิธีลบศักราช ให้เปลี่ยนจากปีขาลเป็นปีกุน โดยแจ้งให้บรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่รวมทั้งประเทศราช ให้ใช้ปีศักราชตามพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นกลียุคขึ้น


เสด็จสวรรคต

สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2153 ขณะมีพระชนม์พรรษาได้ 50 พรรษา และทรงอยู่ในราชสมบัติได้ห้าปี(สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือไทยรบพม่าว่า ทรงครองราชย์ถึง พ.ศ. 2163) พระราชโอรสองค์รอง คือ สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ จึงได้เสวยราชสมบัติสืบต่อมา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น