วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว( รัชกาลที่ ๕ )

พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ (ในรัชกาลที่ 6 ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเจ้านายฝ่ายในตามราชประเพณีนิยมเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร ซึ่งคำว่า "จุฬาลงกรณ์" นั้นแปลว่า เครื่องประดับผม อันหมายถึง "พระเกี้ยว" ที่มีรูปเป็นส่วนยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา

พระองค์ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักพระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงได้การศึกษาภาษาเขมรจากหลวงราชาภิรมย์ ทรงได้การศึกษาการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศร วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2404 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมที่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และเมื่อ พ.ศ. 2409 พระองค์ทรงผนวชตามราชประเพณี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังจากการทรงผนวช พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า

วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ สวรรคตภายหลังทรงเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า "พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา โดยในขณะนั้น ทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะทรงมีพระชนมพรรษครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า

"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว"

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา จึงทรงลาผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2416 ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นเวลา 15 วัน และได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า

"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ มหามงกุฎราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินธร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา รวมพระชนมายุได้ 57 พรรษา


พระมเหสี พระราชินี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมเหสี และ เจ้าจอม รวมทั้งหมด 92 พระองค์ โดย 36 พระองค์มีพระราชโอรส-ธิดา อีก 56 พระองค์ไม่มี และพระองค์ทรงมีพระราชโอรส-ธิดา รวมทั้งสิ้น 77 พระองค์

พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ 5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีมีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัดและอำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช 2433 นอกจากนี้ได้มีงานพระราชนิพนธ์ ที่สำคัญ

พระราชกรณียกิจด้านสังคม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์ นับเป็นการเกิดระบบทหารอาชีพในประเทศไทย[10] นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงดำเนินการเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากออกกฎหมายให้ลูกทาสอายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระทั่งออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทุกคนให้เป็นอิสระและห้ามมีการซื้อขายทาส[11]

การปฏิรูปการปกครอง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย โดยมักอ้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ว่าเป็นการทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอันเป็น "ภาระของคนขาว"[12] ทำให้ต้องทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย โดยพระราชกรณียกิจดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2416

ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ. 2417 และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12 นายเป็น "เคาน์ซิลลอร์" ให้มีอำนาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดำริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13 พระองค์ และขุนนางอีก 36 นาย ช่วยถวายความคิดเห็นหรือเป็นกรรมการดำเนินการต่าง ๆ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ขุนนางตระกูลบุนนาค และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษาเป็นความพยายามดึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดคามขัดแย้งที่เรียกว่า วิกฤตการณ์วังหน้า[13] วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้การปฏิรูปการปกครองชะงักลงกระทั่ง พ.ศ. 2428

พ.ศ. 2427 ทรงปรึกษากับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11 นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ. 2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม (เทียบเท่ากระทรวง)

พ.ศ. 2431 ทรงตั้ง "เสนาบดีสภา" หรือ "ลูกขุน ณ ศาลา" ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร ต่อมา ใน พ.ศ. 2435 ได้ตั้งองคมนตรีสภา เดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อวินิจฉัยและทำงานให้สำเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ "ลูกขุน ณ ศาลาหลวง" ขึ้นเพื้อปรึกษาราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี "การชุมนุมเสนาบดี" อันเป็นการประชุมปรึกษาราชการที่มุขกระสัน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ด้วยความพอพระทัยในผลการดำเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ พ.ศ. 2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อันประกอบด้วย

  1. กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานที่เดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการพลเรือนทั้งหมดและบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวันออก
  2. กระทรวงนครบาล รับผิดชอบกิจการในพระนคร
  3. กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง
  4. กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา
  5. กระทรวงเกษตรพานิชการ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์
  6. กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ
  7. กระทรวงมรุธาธร ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์
  8. กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
  9. กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง
  10. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ
  11. กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบกิจการทหาร และบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้
  12. กระทรวงวัง รับผิดชอบกิจการพระมหากษัตริย์

หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือนเพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว ยุบกรม 2 กรม ได้แก่ กรมยุทธนาธิการ โดยรวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม และกรมมรุธาธร โดยรวมเข้ากับกระทรวงวัง และเปลี่ยนชื่อกระทรวงเกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ โดยการลดอำนาจเจ้าเมือง และนำข้าราชการส่วนกลางไปประจำแทน ทรงทำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2317-2442) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ไปประจำที่อุดรธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาล

พ.ศ. 2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า (ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช) จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในตำแหน่งที่คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญ ทรงตั้งสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศที่ท่าฉลอม พ.ศ. 2448

พระราชกรณียกิจด้านการเลิกทาส

เลิกทาสพระราชกรณียกิจด้านการเลิกทาส ถือเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากผู้ที่เป็นทาสได้รับความเป็นอยู่ที่ลำบากยากแค้นและมีจำนวนมากถึง ๑ ใน ๓ ของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชประสงค์ในการเลิกทาสให้สำเร็จจงได้ โดยทรงตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ.๑๒๔เพื่อปลดปล่อยทาสอย่างมีระเบียบแบบแผน

ตามกฎหมายโบราณ แยกทาสเอาไว้ทั้งหมด ๗ แบบ คือ

๑. ทาสสินไถ่ หมายถึง คนหรือคนที่นำลูกภรรยาของตนมาขายตัวเป็นทาส

๒. ทาสในเรือนเบี้ย หมายถึง ลูกของทาสที่เกิดในเรือนเจ้าเงิน

๓. ทาสได้มาแต่บิดามารดา หมายถึง ทาสที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดามารดา

ทาสท่านให้ หมายถึง ทาสที่มีคนยกให้

๕. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ หมายถึง ทาสที่นายเงินช่วยเหลือมาจากคดีความ

๖. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย หมายถึงทาสที่นำตัวมาขายเพื่อแลกข้าว

๗. ทาสเชลยศึก หมายถึงทาสที่ได้มาจากการชนะสงครามภาพเลิกทาส

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าทาสนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถือเป็นประเพณีแล้ว เจ้านายขุนนาง หรือเสนาบดีที่เป็นใหญ่มักมีทาสเป็นข้ารับใช้ที่ไม่อาจสร้างความเป็นไทแก่ตัว พระองค์จึงทรงใช้พระวิริยะอุตสาหะอย่างหนักในการทำให้ทาสหมดไปจากแผ่นดิน โดยมีพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชบริพารเกี่ยวกับวิธีที่จะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม

โดยขั้นแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส กำหนดโทษผู้ซื้อและขายทาส รวมทั้งออกกฎหมายบังคับให้เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีทาสอยู่ในครอบครองปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ ซึ่งทรงใช้เวลานานกว่า ๓๐ ปี ในการที่ไม่ให้มีทาสหลงเหลืออยู่ในอาณาจักรไทย โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อเลย ซึ่งแตกต่างกับอีกหลายๆ ชาติ ที่เมื่อประกาศเลิกทาสก็เกิดการคัดค้าน และต่อต้านจนทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้น

พระราชกรณียกิจด้านการไปรษณีย์โทรเลข

ไปรษณีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อไปในอนาคตโดยเริ่มจากการโทรเลข ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการก่อสร้างวางสายโทรเลขสำหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.๒๔๑๘ จากกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ระยะทาง ๔๕ กิโลเมตร และได้วางสายใต้น้ำต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับบอกข่าวเรือเข้า ออก ต่อมาได้วางสายโทรเลขขึ้นอีกสายหนึ่งจากกรุงเทพฯ บางปะอิน และขยายไปทั่วถึงในเวลาต่อมา

ไปรษณียคารสำหรับกิจการไปรษณีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๔ มีที่ทำการเรียกว่าไปรษณียาคาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๖ มีสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์พระองค์แรก ในโรงไปรษณียโทรเลขระยะแรกมีการรับฝากจดหมายหรือหนังสือเพียงในกรุงเทพฯ และธนบุรีเท่านั้น เมื่อกิจการดำเนินไปได้ ๒ ปี จึงมีการขยายออกไปยังจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดเขื่อนขันธ์ (ปัจจุบันคืออำเภอพระประแดง จ.สมุทรปราการ) และขยายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา เมื่อกิจการโทรเลข และไปรษณีย์ดำเนินการไปได้ด้วยดี ในปีพ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลขรวมเข้ากับกรมไปรษณีย์ชื่อว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข

พระราชกรณียกิจด้านการโทรศัพท์

กิจการทั้งหลายอันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่เริ่มจากสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงกิจการโทรศัพท์ด้วย เนื่องจากมีพระวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล และพระปรีชาสามารถอย่างมากในการพัฒนาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมได้นำโทรศัพท์อันเป็นวิทยาการในการสื่อสารที่ทันสมัยเข้ามาทดลองใช้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ จากกรุงเทพฯ สมุทรปราการ เพื่อแจ้งข่าวเรือเข้า ออกที่ปากน้ำ์ ต่อ มากรมโทรเลขได้มารับช่วงต่อในการวางสายโทรศัพท์ภายในกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลา ๓ ปีจึงแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการกับประชาชน และพัฒนามาจนกระทั่งทุกวันนี้

พระบรมวงศานุวงศ์

พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง

เมื่อบ้านเมืองมีความเจริญเก้าวหน้าขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปลี่ยนแปลงแบบแผนการปกครองจากเดิมที่เป็นการบริหารจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วางระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ โดยแยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ซึ่งในครั้งแรกนั้นทรงกำหนดกรมขึ้นมาใหม่ 6 กรม ได้แก่

๑. กรมพระคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชนและนำมาบริหารใช้งานด้านต่าง ๆ

๒. กรมยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ ทั้งคดีอาญาและคดีเพ่ง รวมถึงควบคุมดูแลศาลอาญา ศาลแพ่ง และศาลอุทธรณ์ทั่วทั้งแผ่นดิน

๓. กรมยุทธนาธิการ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาการณ์ในกรมทหารบก ทหารเรือ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทหาร

๔. กรมธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ คือ หน้าที่สั่งสอนอบรมพระสงฆ์และสอนหนังสือให้กับประชาชนทั่วไป

๕. กรมโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง

. กรมมุรธาธิการ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร พระราชกำหนดกฎหมาย และหนังสือที่เกี่ยวกับราชการทั้งหมด

รวมถึงกรมที่ตั้งอยู่ก่อนหน้านั้น 6 กรม รวมเป็น 12 กรม ได้แก่

๗. กรมมหาดไทย* มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเมืองลาวซึ่งเป็นเมืองประเทศราช

๘. กรมพระกลาโหม* มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออก ตะวันตก และเมืองมลายู

(* การที่ให้กรมทั้งสองบังคับหัวเมืองคนละด้านนั้น เพื่อเป็นการง่ายต่อการควบคุมดูแลพื้นที่นั้น ๆ ให้ได้ผลเต็มที่)

๙. กรมท่า มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

๑๐. กรมวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการณ์ต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง

๑๑. กรมเมือง มีหน้าที่ดูแลรักษากฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับผู้กระทำผิด กรมนี้มีตำรวจทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบ และจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษ

๑๒. กรมนา มีหน้าที่คล้ายคลึงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบันคือ มีหน้าที่หลักในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย และป่าไม้ เพราะเมืองไทยมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก

เมื่อกิจการกรมต่างๆ มีความเจริญก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจแล้วในปี พ.ศ.๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประกาศในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๕ ให้ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวง แต่ต่อมาทรงเห็นว่าบางกระทรวงมีหน้าที่ซ้ำซ้อนกันจึงยุบกระทรวงลง กระทรวง คือ กระทรวงมุรธาธิการยุบรวมกับกระทรวงวัง และกระทรวงยุทธนาธิการรวมกับกระทรวงกลาโหม คงเหลือ ๑๐ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงวัง, กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ, กระทรวงเกษตราธิการ, กระทรวงนครบาล, กระทรวงธรรมการ, กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงการต่างประเทศ

พระราชกรณียกิจด้านการพยาบาลและสาธารณสุข

ศิริราชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะสร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาประชาชนด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่ เนื่องจากการรักษาแบบเดิมนั้นล้าสมัย ไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงทีทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายเมื่อเกิดโรคระบาด พระองค์จึงทรงแต่งตั้งกรรมการขึ้นมา ๙ คนเพื่อดำเนินการจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นบริเวณริมคลองบางกอกน้อยอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือวังหลังโดยได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มแรกในการสร้างโรงพยาบาล ให้ใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลวังหลัง เปิดทำการรักษาแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๑

ต่อมาพระองค์ได้พระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งนี้ใหม่ว่าโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสที่ประสูติในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ที่สิ้นพระชนมายุเพียง ๑ ปี ๗ เดือน ทั้งยังได้พระราชทานพระเมรุ พร้อมกับเครื่องใช้ เช่น เตียง เก้าอี้ ตู้โต๊ะ ฯลฯ ในงานพระศพให้กับโรงพยาบาลเพื่อใช้ประโยชน์ รวมทั้งพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ จำนวน ๕๖,๐๐๐ บาท ให้กับโรงพยาบาลเป็นทุนในการใช้จ่าย

พระราชกรณียกิจด้านการกฎหมาย

กฎหมายในขณะนั้นมีความล้าสมัยอย่างมาก เนื่องจากใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ และยังไม่เคยมีการชำระขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัยทำให้ต่างชาติใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบไทยเรื่องการทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับการขึ้นศาลตัดสินคดีที่ไม่ให้ชาวต่างชาติขึ้นศาลไทย โดยตั้งศาลกงสุลพิจารณาคดีคนในบังคับต่างชาติเอง แม้ว่าจะมีคดีความกับชาวไทยก็ตาม ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ สร้างประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่เพื่อให้ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญกฎหมายจากต่างประเทศมาร่วมงานกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระบิดาแห่งกฎหมายไทย) พระราชโอรส ในฐานะองค์ประธานตรวจพระราชกำหนดพระอัยการทั้งเก่าและใหม่

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย มีกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงเป็นผู้อำนวยการ และพระอาจารย์สอนกฎหมายแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญที่ผลิตนักกฎหมายที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศ

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ตรากฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.๑๒๗อันเป็นลักษณะกฎหมายอาญาฉบับแรกที่นำขึ้นมาใช้ อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งพิจารณาทำกฎหมายประมวลอาญาแผ่นดินและการพาณิชย์ ประมวลกฎหมายว่าด้วยพิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญแห่งศาลยุติธรรม แต่ยังไม่ทันสำเร็จดีก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน เมื่อสร้างประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้แล้ว บทลงโทษแบบจารีตดั้งเดิมจึงถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองค์เอง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็นบทลงโทษ ที่เป็นหลักการพิจารณาที่ดีและทันสมัยกว่าเดิมด้วย

พระราชกรณียกิจด้านการขนส่งและสื่อสาร

เสด็จเปิดรถไฟ

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสำรวจเส้นทาง เพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ มีการวางแผนให้ทางรถไฟสายนี้ตัดเข้าเมืองใหญ่ๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศแล้วแยกเป็นชุมสายตัดเข้าสู่จังหวัดใหญ่ทางแถบภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็นหัวลำโพงเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้า การสำรวจเส้นทางในการวางเส้นทางรถไฟนี้เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อสร้างทางรถไฟครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยโปรดเกล้า ฯ ให้ทางรถไฟสายนี้เป็นรถไฟหลวงแห่งแรกของไทย

พระราชกรณียกิจด้านการไฟฟ้า

ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อมีโอกาสประพาสต่างประเทศ ได้ทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นถึงประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดจากการมีไฟฟ้า พระองค์จึงทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนารถเป็นผู้ริเริ่มในการจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ซึ่งเป็นการเปิดใช้ไฟฟ้าครั้งแรกของไทย

พระราชกรณียกิจด้านการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา

เงินอัฐในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำธนบัตรขึ้นเรียกว่า อัฐ เป็นกระดาษมีมูลค่าเท่ากับเหรียญทองแดง ๑ อัฐ แต่ใช้ได้เพียง ๑ ปีก็เลิกไปเพราะประชาชนไม่นิยมใช้ ต่อมาทรงตั้งกรมธนบัตรขึ้นมา เพื่อจัดทำเป็นตั๋วสัญญาขึ้นใช้แทนเงินกรมธนบัตรได้เริ่มใช้ตั๋วสัญญาเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นครั้งแรก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

80 บาทในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ได้มีการผลิตธนบัตรรุ่นแรกออกมา ๕ ชนิด คือ,๐๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท ภายหลังมีธนบัตรใบละ ๑ บาทออกมาด้วย รวมถึงพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดหน่วยเงินตรา โดยให้หน่วยทศนิยมเรียกว่า สตางค์ กำหนดให้ ๑๐๐ สตางค์ เท่ากับ ๑ บาท พร้อมกับผลิตเหรียญสตางค์ขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกเรียกว่าเบี้ยสตางค์ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิด คือ ราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๔ สตางค์ ๒ สตางค์ครึ่ง ใช้ปนกับเหรียญสี้ยว และอัฐ

เงินพดด้วงต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วงและทรงออกพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.๑๒๗ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายนพ.ศ.๒๔๕๑ ว่าด้วยเรื่องให้ใช้แร่ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพื่อให้เสถียรภาพเงินตราของไทยสอดคล้องกับหลักสากล และในปีต่อมาทรงออกประกาศเลิกใช้เหรียญเฟื้อง และเบี้ยทองแดง

พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในการศึกษารูปแบบใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาทั่วกัน เพราะการศึกษาสมัยนั้นส่วนใหญ่ยังศึกษาอยู่ในวัด เมื่อมีการสร้างโรงเรียนและการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้นเท่ากับเป็นการบ่งบอกถึงความเจริญทางด้านวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนหลวงแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ โดยมีหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ สอนวิชาให้กับผู้เข้ารับราชการ จะได้มีความรู้ในการทำงาน สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกรู) เป็นผู้เขียนตำราเรียนขึ้นมาเรียกว่า แบบเรียนหลวง ๖ เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์

ตำราทั้ง เล่มนี้ พระยาศรีสนุทรโวหารเขียนขึ้นมาใน ปีพ.ศ.๒๔๒๗ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบไล่สามัญศึกษาขึ้นอีกด้วย เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงขึ้นอีกหลายแห่ง กระจัดกระจายไปตามวัดต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัด คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม โรงเรียนหลวงที่ตั้งขึ้นมานี้เพื่อให้บุตรหลานของประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้กัน การศึกษาขยายตัวเจริญขึ้นตามลำดับด้วยความสนใจของประชาชนที่ต้องการมีความรู้มากขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้โอนโรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ มีการพิมพ์ตำราพระราชทานเพื่อเป็นตำราในการเรียนการสอนด้วย

พระราชกรณียกิจด้านการเสด็จประพาส

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชื่นชอบการเสด็จประพาสเป็นยิ่งนัก พระองค์เสด็จประพาสทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการบางครั้งทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง เพื่อเสด็จพระราชดำเนินดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่างๆ มากมาย การเสด็จประพาสบ่อยครั้งทำให้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งที่ดีและเสด็จประพาสหัวเมืองไม่ดี สิ่งเหล่านี้พระองค์ได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าขึ้น

ในขณะนั้นประเทศแถบอินโดจีนได้ถูกรุกรานจากประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก เนื่องจากประเทศในแถบอินโดจีนเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาทำให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย รวมถึงประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับสภาวะนี้เช่นกัน ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมแกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จประพาสยุโรป เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น อีกทั้งต้องการศึกษาวิทยาการต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงประเทศ และจากการเสด็จประพาสยุโรปของพระองค์ในครั้งนี้ก็ได้นำความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการมาสู่บ้านเมืองของเราอย่างมากมาย

เสด็จประพาสยุโรป

การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ.๒๔๔๐ ได้ส่งผลดีในการเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งรัสเซีย ซึ่งการเสด็จฯ เยือนรัสเซียครั้งนั้นนับว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดของการเสด็จพระพาสยุโรปทั้งหมด พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทรงต้อนรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ อย่างสนิทสนมและสมพระเกียรติ มีบันทึกไว้ว่า “สมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย ประทับสนทนาปราศรัยด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายสยามและฝ่ายรัสเซีย เป็นอย่างฉันพระญาติพระวงศ์อันเดียวกันอันสนิท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรม ราชวงศ์ประดับเพชรซึ่งทรงสวมใส่อยู่นั้น ถวายสมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย”

และถึงตอนที่จะเสด็จฯ ออกจากรัสเซียนั้น มีบันทึกไว้ว่า “ต่างพระองค์ทรงพระอาลัยที่จะจากกันไปนั้น และทรงกอดรัดและจุมพิตถวายคำนับแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่รถไฟพระที่นั่ง”

ข่าวการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่รัสเซียในครั้งนั้นทำให้ราชสำนักต่าง ๆ ในยุโรปตระหนักถึงความสำคัญของประเทศไทย ทำให้เกิดความเกรงใจอยู่ไม่น้อย กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับมหาอำนาจตะวันตกในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สะท้อนให้เห็นนโยบายของไทยที่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามและยอมเสียดินแดนส่วนน้อย เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ ทั้งนี้เพราะไทยเป็นประเทศเล็กที่มีกำลังน้อย ท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกยึดครองไปจนหมด ไทยจึงไม่อาจต่อรองด้วยกำลังกับชาติมหาอำนาจ แต่จะต้องพยายามแก้ปัญหาโดยใช้ “กลยุทธ์ทางการทูต” ในการรักษาเอกราชของชาติไว้ เห็นได้ชัดจากความสัมพันธ์ที่เกิดจากมิตรไมตรีขององค์ประมุขของไทยและ รัสเซีย ได้ช่วยให้ไทยสามารถดำเนินนโยบายถ่วงดุลอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยไว้ตามแนวสันติวิธี

พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรม

ไกลบ้านในด้านวรรณกรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกวีเอกที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในแผ่นดินสยาม พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมไว้มากมาย พระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่ได้รับความนิยม และใช้เป็นส่วนหนึ่งของแบบเรียน คือ

๑. ลิลิตนิทราชาคริต ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยแต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ อาศัยเค้าโครงเรื่องจากนิทานอาหรับโบราณ งานพระราชนิพนธ์ชิ้นนี้ได้พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

๒. พระราชพิธีสิบสองเดือน ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๑ ลงพิมพ์เป็นตอนๆ ในหนังสือวชิรญาณ ใช้สำนวนร้อยแก้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชพิธีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน

๓. บทละครเรื่องเงาะป่า ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ในขณะที่ทรงพระประชวรพระราชนิพนธ์เรื่องนี้เป็นบทละครซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาจนทุกวันนี้

๔. ไกลบ้าน ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๙ เป็นพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานพดล เมื่อครั้งที่เสด็จประพาสยุโรปในครั้งที่ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เป็นร้อยแก้ว โดยเรื่องราวส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้มีโอกาสทอดพระเนตรในระหว่าง เดือนที่เสด็จประพาสยุโรป

๕. พระราชวิจารณ์ ทรงพระราชนิพนธ์เป็นร้อยแก้ว ลักษณะคล้ายๆ กับจดหมายเหตุ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อพระราชทานเป็นความรู้แก่นักวิชาการที่ต้องการค้นคว้าเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ในเรื่องราวต่างๆ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร เนื่องด้วยทรงพระชราภาพและทรงตรากตรำพระราชภารกิจมากมาย เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุ 58 พรรษา นับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ด้วยพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่เพียบพร้อมไปด้วยพระคุณธรรมและพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆ มากมาย

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้านั้นเป็นช่วงเวลาที่แนวความคิดทางการเมือง การทหาร และวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นสร้างความเจริญให้แก่ประเทศไทยของเราอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเลิกทาส การสื่อสาร การปกครอง การสาธารณสุข การขนส่ง การศึกษาฯลฯ

พระองค์ทรงยอมรับความศิวิไลซ์ของประเทศตะวันตกและทรงใช้วิจารณญาณในการประยุกต์ผสมผสานเข้ากับสังคมไทยอย่างลงตัว โดยทรงยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักและด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญาว่า พระปิยะมหาราช อันหมายถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักนั่นเอง

พระบรมราโชบายการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดินใน ร.๕

ปฐมเหตุ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ประเทศไทย (สยาม) ต้องเผชิญกับภัยจากประเทศตะวันตกอยู่รอบทิศ ในขณะที่ระบบการบริหารราชการแผ่นดินยังไม่ก้าวหน้า และคล่องตัวเท่าที่ควร การทหารยังไม่ทันสมัย จำนวนประชากรยังมีน้อย กำลังทางเศรษฐกิจก็ยังมีน้อย การศึกษาของประชากรเพิ่งเริ่มต้นและยังไม่แพร่หลาย การคมนาคมแผนใหม่เพิ่งเริ่มต้น
ด้านภายนอกประเทศ การล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ได้แผ่ขยายเข้ารุกรานประเทศต่าง ๆ ในเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาเซียอาคเนย์ ทุกประเทศโดยรอบประเทศไทย ตั้งแต่ลาว เวียดนาม กัมพูชา มลายา พม่า และในวงกว้างออกไปคือ จีนฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอินเดีย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ทรงวางแผนพัฒนาประเทศในหลายสาขางาน และทรงดำเนินการป้องกันการรุกรานประเทศในทุกวิถีทางมาโดยตลอด ในการนี้ พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาการใหม่ ๆ ด้วยพระองค์เองเพื่อนำแนวคิดอันเป็นประโยชน์มาใช้ นอกจากนั้น ยังทรงรับฟังความคิดเห็นของเจ้านาย ข้าราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดโอกาสให้เสนอแนะข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์มาใช้ในการปรับปรุงงาน เป็นเหตุให้มีเจ้านายและข้าราชการหลายท่านได้กราบบังคมทูลเสนอแนะการแก้ไขปรับปรุงงาน
ต่อพระองค์เป็นจำนวนมาก เช่น คำกราบบังคมทูลของกรมหลวงวรศักดาพิศาล คำกราบบังคมทูลของเจ้านาย และข้าราชการ เพื่ออัญเชิญเสด็จประพาสยุโรป เพื่อทอดพระเนตรกิจการ ร.ศ.๑๐๓ (พ.ศ.๒๔๒๗) เจ้าหมื่นไวยวรนารถทูลเกล้า ฯ ถวายความเห็นเรื่องจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.๑๐๔ (พ.ศ.๒๔๒๘) เป็นต้น
ในปี พ.ศ.๒๔๒๗ กองทัพอังกฤษได้ยกเข้าตีกรุงมัณฑเลย์ของพม่าได้ และจับพระเจ้าธีบอ กษัตริย์พม่าไว้ได้ ทำให้พม่าต้องสูญเสียเอกราช และถูกผนวกเข้าไว้เป็นมณฑลหนึ่งของอินเดีย ซึ่งตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อนแล้ว ประเทศในย่านเอเซียต่างตระหนกในเหตุการณ์นี้ และตระหนักถึงภัยของชาติมหาอำนาจตะวันตกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชอาณาจักรสยามที่มีพระราชอาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรพม่า
เหตุการณ์ร้ายของพม่า ที่มาของหนังสือกราบบังคมทูล
เมื่อข่าวเรื่องราชอาณาจักรพม่าเสียเอกราชแก่อังกฤษ ทำให้อังกฤษมีอาณานิคมในย่านนี้เพิ่มมากขึ้น ได้แพร่สะพัดในยุโรป หนังสือพิมพ์ของประเทศมหาอำนาจ ก็ได้ลงบทความยกย่องความสามารถทางทหารของอังกฤษ รวมทั้งวิเทโศบายทางการเมืองที่เหนือกว่าประเทศด้อยพัฒนาในแถบทวีปเอเซีย
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ในฐานะอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศส ได้ทรงทำรายงานสถานการณ์ถวายเลขานุการ และที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ทั้งได้ทรงแปลบทความหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวพูดถึงประเทศพม่าแนบมาด้วย เพื่อขอให้นำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เมื่อได้ทรงทราบแล้ว มีพระราชดำริว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภัยร้ายแรงต่อพระราชอาณาจักรไทย จึงได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์พระราชทานมายังพระองค์เจ้าปฤษฎางค์โดยตรง ให้แสดงความคิดเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไขบ้านเมือง เพื่อป้องกันเหตุรัายสำหรับประเทศสยามอย่างไร พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงได้ทรงทำหนังสือกราบบังคมทูลขึ้น เรียกในครั้งนั้นว่า หนังสือกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ทรงนำเอาพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ไปเปิดเผยหารือกับเจ้านาย และข้าราชการสถานทูต แล้วรับคำเสนอแนะมาทำเป็นหนังสือกราบบังคมทูล ผู้ที่ร่วมลงนามในหนังสือดังกล่าวรวม ๑๑ ท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการไทย ประจำสถานทูตอังกฤษ และฝรั่งเศส นับแต่อัครราชทูตลงมาถึงข้าราชการระดับรอง ๆ ลงมาคือ กรมหมื่นนเรศวรวรฤทธิ์ ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรวรฤทธิ์พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย พระยาดำรงราชพลขันธ์ (นกแก้ว คชเสนี) ต่อมาคือพระยา
มหาโยธา หลวงเดชนายเวร (สุ่น ศาสตราภัย) ต่อมาคือ พระดรุณรักษา แล้วได้เลื่อนเป็นพระยาอภัยพิพิธ หลวงวิเลศสาลี (นาค ณ ป้อมเพชร) ต่อมาคือ พระยาอภัยพลภักดิ์ นายเสน่ห์ หุ้มแพร (บุศ เพ็ญกุล) ต่อมาคือ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ขุนปฏิภาณพิจิตร (หวุ่น) นายเปลี่ยนหรือนายร้อยเอกเปลี่ยน อยู่ในสกุลหัสดิเสวี ต่อมาได้เป็นหลวงวิสูตรบริหาร และนายร้อยตรีสอาด อยู่ในสกุลสิงหเสนี ต่อมาได้เป็นนายพลตรีพระยาสิงหเสนี ฯ
ข้อเท็จจริงตามหนังสือกราบบังคมทูล บางเรื่องแม้จะเป็นความจริงอยู่หลายประการ แต่ก็มีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง เพราะบางสิ่งบางอย่างที่กล่าวว่าล้าหลังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ทรงปรับปรุงให้ก้าวหน้าไปแล้ว เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นในด้านการปกครอง ได้มีการแต่งตั้งสภาปริวิเคาซิล อันเป็นที่ปรึกษาในพระองค์ เป็นที่ทำหน้าที่ในการออกกฏหมาย ในด้านการบริหารก็กำลังทดลองจะจัดตั้งหน่วยงานระดับกระทรวง
อย่างไรก็ตามควรนับได้ว่า คำกราบบังคมทูลมีคุณประโยชน์ ทำให้มีการเร่งรัดปฏิรูปการปกครองแผนใหม่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ได้ริเริ่มให้ราษฎรลงคะแนน ในการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ เริ่มจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๘ และเริ่มจัดงานสุขาภิบาลในระยะต่อมา ซึ่งล้วนเป็นการวางรากฐานงานปกครองในพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคง นับเป็นงานเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตย
พระราชหัตถเลขาตอบ
พระบาทสมเด็จพระจุลบจอมเกล้า ฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๘ หลังจากที่ทรงทราบความแล้วเป็นเวลาประมาณ ๔ เดือน เรียกสารนี้ว่าพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน แต่ตามต้นฉบับเรียกเรียกพระราชหัตถเลขานี้ว่า พระราชดำรัสตอบความเห็นของผู้ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง จ.ศ.๑๒๔๗ มีความว่า
ด้วยเราได้รับหนังสือของท่านทั้งปวงลงชื่อพร้อมกันส่งมาเป็นความเห็นว่าด้วยอันตราย จะมีแก่บ้านเมืองอย่างไร การที่ควรจะหลีกหนีให้พ้นอันตราย ด้วยจัดการได้ถึงที่เพียงเท่าใด ความเห็นของท่านทั้งปวงที่กล่าวมาแล้วนั้น เราได้พิจารณาโดยถ้วนถี่ทุกข้อทุกประการแล้ว
ในเบื้องต้นนี้ เราขอตอบแก่ท่านทั้งปวงว่า เราชอบใจอยู่ในการซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการของเราได้ไปเห็นการในประเทศอื่น แล้วระลึกถึงประเทศของตน ปรารถนาที่จะป้องกันอันตราย แลจะให้มีความยั่งยืนมั่นคงอยู่ในอำนาจอันเป็นอิสรภาพ ในข้อความบรรดาที่ได้กล่าวมาแล้วที่เป็นตัวใจความสำคัญทุกอย่างนั้น เรายอมรับว่าเป็นการจริงดังนั้น ยกไว้แต่ข้อเล็กน้อยบางข้อ ซึ่งบางทีจะเป็นเข้าใจผิดไป แต่หาเห็นควรที่จะยกขึ้นพูดในที่นี้ไม่ แต่เราขอแจ้งความแก่ท่านทั้งปวง ให้ทราบพร้อมกันด้วยว่าความที่น่ากลัวอันตรายอย่างใดซึ่งได้กล่าวมานั้น ไม่เป็นการที่จะแลเห็นได้ขึ้นใหม่ของเราเลย แต่เป็นการได้คิดเห็นอยู่แล้วทั้งสิ้น แลการที่ควรจะทำนุบำรุงให้เจริญอย่างไรเล่า เราก็มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้จัดการนั้นให้สำเร็จตลอดไปได้ ไม่ต้องมีความห่วงระแวงอย่างหนึ่งอย่างใด ว่าเราบจะเป็นผู้ขัดขวางในการซึ่งจะเสียอำนาจ ซึ่งเรียกว่าแอบโซลูดเป็นต้นนั้นเลย เพราะเราได้เคยทดลองรู้มาแล้ว ตั้งแต่เวลาเป็นตุ๊กตา ซึ่งไม่มีอำนาจอันใดเลยทีเดียว นอกจากชื่อ จนถึงเวลาที่มีอำนาจขึ้นมาโดยลำดับจนเต็มบริบูรณ์ในบัดนี้ "ในเวลาที่มีอำนาจน้อยปานนั้นได้ความลำบากอย่างไร และในเวลาที่มีอำนาจมากเพียงนี้ ได้ความลำบากอย่างไรเรารู้ดี จำได้ดี" เพราะที่จำได้อยู่อย่างนี้เหตุไรเล่าเราจึงบจะมีความปรารถนาอำนาจปานกลาง ซึ่งจะเป็นความสุขแก่ตัวเรา แลจะเป็นการมั่นคงถาวรของพระราชอาณาจักรด้วยนั้น เพราะเหตุฉะนี้เราขอให้ท่านทั้งปวงเข้าใจว่าเราไม่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งจะต้องบีบคั้นให้หันลงหาทางกลาง เหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินยุโรป ซึ่งมีมาในพงศาวดาร แลเพราะความเห็น ความรู้ซึ่งเราได้เป็นเจ้าแผ่นดินมาถึงสิบแปดปี ได้พบได้เห็นแลได้เคยทุกข์ร้อน ในการหนักการแรงการเผ็ดการร้อนของเมือง ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใด ทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่น ๆ ซึ่งมีเนือง ๆ มิได้ขาด แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกาย อยู่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อน จนมีเหตุบ่อย ๆ เป็นพยานของเราที่ยกขึ้นชี้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนอย่างกับคางคกอยู่ในกะลาครอบ ที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
เมื่อเราได้ชี้แจงถึงตัวเราเอง ว่าไม่เป็นผู้กีดแก่การจำเริญแลการมั่นคงของบ้านเมืองดังนั้นแล้ว เรายังต้องเป็นผู้รับผิดที่คนทั้งปวงจะลงร้าย ว่าเพราะเราเป็นคนอ่อน ไม่สามารถที่จะหักหาญแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เพราะความเห็นซึ่งจะถือว่า ถ้าเราประสงค์อย่างไรการนั้นคงจะตลอดไปได้ การซึ่งไม่ตลอดไปได้เพราะเราไม่คิดจะให้ตลอดดังนี้ ดูเหมือนเราเป็นผู้ทำให้เสียอำนาจเจ้าแผ่นดินไป เพราะความอ่อนของตัว ในความข้อนี้ เราไม่อยากจะซัดโทษให้แก่ท่านแต่ก่อนเลย แต่เป็นการจำเป็นที่จะต้องพูดว่า อำนาจเสนาบดีเจริญขึ้น เพราะมีอำนาจได้ตั้งเจ้าแผ่นดินมาแต่ก่อนมากนักแล้ว จนตลอดถึงเวลาเราได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็เป็นเวลาเคราะห์ร้าย ที่ตัวเราเป็นเด็ก เป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะถอนอำนาจเจ้าแผ่นดินได้หมด เหมือนว่าวที่ปล่อยจนหมดสายป่านไม่มีเหลือเลย ยังเหลือแต่ธุระที่เราจะทำอยู่เพียงจะชั่งกำลังตัวว่า เมื่อเราเป็นเด็กอยู่มีกำลังเพียงเท่านั้น จะรั้งว่าวนั้นไม่ให้หกล้ม ฤาจะปล่อยให้ว่าวหลุดลอยเสีย แต่เป็นเดชะบุญที่เราเป็นแต่เด็กกำลังเดียวเท่านั้น ได้อาศัยเอาป่านพันหลักค่อย ๆ สาวเข้ามา จนไม่มีอันตรายหลุดลอยไปได้ แต่ก็ยังเป็นพนักงานอย่างเดียวที่จะสาวสายป่านให้สั้นเข้ามาทุกที สั้นเข้ามาทุกที เมื่อเหลือกำลังก็หย่อนไป เมื่อพอที่จะสาวก็สาวเข้ามาพันหลักไว้ เมื่อผู้ใดได้รู้การเก่า ผู้นั้นจะเห็นได้ว่าความยากลำบากของเรา เป็นประการใด ถ้าผู้ที่ได้เห็นแต่การภายหลังก็จะเข้าใจว่า เราได้นั่งขี้เกียจฤาโง่เซอะ มาเป็น ๑๗ - ๑๘ ปี ที่พูดมานี้ถ้าจะฟังในเวลานี้ ก็เห็นเป็นการเพ้อเจ้อ แต่ถ้าคิดถึงแต่ก่อนแล้วยิ่งเป็นการสำคัญมาก ยากที่จะทำ ซึ่งเราถือว่าเราไม่ได้ขี้เกียจอยู่เปล่าเลย ยกเอามาว่านี้เพราะจะให้เห็นว่าการแต่ก่อนนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุใดคำซึ่งถือว่าความปรารถนาของเราเป็นสำคัญ จะใช้ทั่วไปทุกเวลาไม่ได้ เราไม่ยอมรับผิดชอบในนั้นเลย เพราะเราได้ทำการเต็มกำลังแล้ว แต่เวลาปีหนึ่งสองปีนี้ดูเป็นโอกาสดีขึ้นมาก ที่ควรจะจัดการต่อไปอีกได้ เราก็ได้คิดจัดการต่อไปเมื่อได้รับอนุญาตของเรานั้น เป็นที่ชอบใจของเราอยู่ เราเห็นสมควรที่จะชี้แจงการที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้อย่างไร ความต้องการของเมืองเรานั้นต้องการอันใด ที่ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้ชิดต่อราชการ จะรู้แน่ได้โดยยาก
คือราชการในเมืองเรานี้ ถ้าจะเทียบกับประเทศอื่น ๆ การแต่เดิม ๆ มานั้น การเอกเสกคิวตีฟ กับลิยิสเลตีฟ รวมอยู่ในเจ้าแผ่นดินกับเสนาบดีโดยมาก แต่ครั้งเมื่อริเยนซี ในตอนต้น อำนาจนั้นก็อยู่แก่ริเยนต์แลเสนาบดีทั้งสองอย่าง ครั้นภายหลังมาเมื่อเราค่อยมีอำนาจขึ้น ตำแหน่งเอกเสกคิวตีฟนั้นเป็นที่หวงแหนของริเยนต์แลจนถึงเคานซิล ที่ปรึกษาทำกฎหมายเนือง ๆ เป็นต้น จนตกลงเป็นเสนาบดีเป็นคอเวอนเมนต์ เราก็กลายเป็นหัวหน้าของพวกลิยิสเลติฟเคานซิล เป็นออปโปลิชั่นของคอเวอนเมนต์ตรง เมื่อภายหลังมามีเหตุการณ์ในการคอเวอนเมนต์มากขึ้น เป็นโอกาสที่เราจะได้แทรกมือลงไปได้บ่อย ๆ เราจึงได้ถือเอาอำนาจเอกเสกคิวตีฟได้ทีละน้อยละน้อย จนภายหลังตามลำดับ ลำดับมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เรากลายเป็นตัวคอเวอนเมนต์ เราเชื่อเป็นแน่ว่าในการลิยิสเลตีฟเคานซิลครั้งนั้น คงจะได้แรงเพราะเรา จึงได้ทำการตลอดไปได้ไม่มากก็น้อย ครั้นเรากลับมาเป็นเอกเสกคิวตีฟคอเวอนเมนต์เสียแล้ว การลิยิสเลตีฟไม่มีผู้อุดหนุน เพราะเป็นการเหลือกำลัง ที่เราจะทำทั้งสองอย่างได้ตลอดเช่น พระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ด้วยราชการเกิดขึ้นมากกว่าหลายสิบเท่านัก แลเพราะเมมเบอร์ที่เป็นตัวสำคัญขาดไปเสียบ้าง จึงทำให้ลิยิสเลตีฟเคานซิลมีเสียงอ่อนไป ทำกฎหมายอันใดก็ไม่ใคร่จะทำสำเร็จได้ โทษที่การลิยิสเลตีฟเคานซิลเสียไป จะลงเอาว่าเพราะแต่ก่อนเราตั้งใจ อุดหนุนอยู่การจึงตลอดไป ในภายหลังเพราะเราทิ้งเสียจึงเสียไป ก็ต้องรับว่าเป็นการจริงอยู่ แต่ต้องขอชี้แจงให้เข้าใจอีกว่า การที่เราทำอยู่ในตำแหน่ง เอกเสกคิวตีฟคอเวอนเมนต์นี้ ถ้าจะเปรียบกับการคอเวอนเมนต์อังกฤษก็เหมือนหนึ่งเป็นปรีเมียเองในตัว แต่ได้เปรียบกว่ากันคนละอย่างคือ ปรีเมียอังกฤษต้องรู้การคิดการที่สำคัญทุกสิ่งทุกอย่าง เว้นไว้แต่การเล็กน้อย คนอื่นทำไปได้ตำแหน่งมินิสตรีของตัว แต่ส่วนเราต้องรู้การตั้งแต่ใหญ่ลงไปจนเล็กทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องทำเองสั่งเองทุกสิ่ง ตลอดจนถ้อยความเล็กน้อย ไม่ใคร่จะได้อาศัย ฤาไม่ได้อาศัยเสนาบดีตามตำแหน่งนั้น ๆ เลย เราต้องรับการตำแหน่งนี้หนักยิ่งกว่าปรีเมียอังกฤษ แต่ปรีเมียอังกฤษต้องนั่งในเฮาสออฟปาลียเมนต์ คอยแก้ความ ส่วนเราไม่ต้องนั่งเป็นได้เปรียบปรีเมียอังกฤษ เมื่อการของเราหนักปานนี้ ไม่มีเวลาที่จะหยุดได้ จึงไม่ได้อุดหนุนในการลิยิสเลตีฟเคานซิล ให้แข็งแรงได้เหมือนแต่ก่อน จะหาเวลาที่จะเรียงหนังสือให้ยาว ๆ หน่อยหนึ่งก็ยากเป็นที่สุด อย่าว่าแต่จะทำกฎหมายเลย แต่ในการเอกเสกคิวตีฟคอเวอนเมนต์ เราสามารถที่จะพูดได้ว่า ยังชั่วขึ้นกว่าแต่เป็นแน่ แต่จะเรียกว่าดีนั้นไม่ได้เลย เพราะมีช่องที่จะเสียได้มาก แลไม่เป็นการถาวรด้วย
เพราะฉะนั้น การต้องการในเมืองเราเวลานี้ ที่เป็นต้องการสำคัญนั้นคือ คอเวอนเมนต์รีฟอม จำเป็นที่จะให้พนักงานของข้าราชการแผ่นดินทุก ๆ กรม ทำการให้ได้เนื้อเต็มหน้าที่ แลให้ได้ประชุมปรึกษาหารือกัน ทำการเดินให้ถึงกันโดยง่าย โดยเร็วทำการรับผิดชอบในหน้าที่ของตัว หลีกลี้ไม่ได้ นี่เป็นความต้องการอย่างหนึ่ง
ความต้องการอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ ผู้ทำกฎหมายให้เป็นผู้สำหรับที่จะตริตรองตรวจการทุกสิ่งทุกอย่าง ในพวกที่ว่ามาแล้วนั้น จะทำฤาตัดสินการขัดข้องด้วยทุกวันนี้ จะหาผู้ที่ทำกฎหมายได้ เกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีทีเดียว ได้คิดที่จะทำกฎหมายอันใดอันหนึ่งหลายเรื่องนักหนาแล้ว ไม่สำเร็จไปได้สักเรื่องหนึ่ง เพราะผู้ที่จะทำได้นั้น มักเป็นผู้ที่มีการในตำแหน่งที่ต้องทำเสมอจนเหลือที่จะทำได้ ถ้าจะให้ประชุมเคานซิลทำอย่างเช่นแต่ก่อน ก็ไม่สำเร็จได้เลยสักเรื่องเดียว ความต้องการทั้งสองสิ่งนี้ เป็นต้องการใหญ่ของเมืองเรา
ในการที่จะจัดตำแหน่งเสนาบดีให้รับการได้จริงทุกสิ่งทุกอย่างในสำรับเก่าที่เป็นอยู่บัดนี้ ให้กลับทำการอย่างใหม่ได้จริงนั้นไม่ยาก แต่เพียงที่เคยเป็นออปโปสิชั่นกันมาเสียแต่ก่อน ที่จำเป็นจะต้องเห็นไม่ต้องกัน ฤาแกล้งบิดพลิ้วจะให้เสียนั้นอย่างเดียวเลย เป็นการที่เหลือกำลังจะทำไปได้ก็มี เหมือนอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ กงสุลฝรั่งเศสมีหนังสือมา เรื่องประกาศห้ามไม่ให้บรรทุกกำลังศึกเข้าไปในเมืองจีน เราจึงได้มีคำสั่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์ให้ทำคำประกาศ แลให้แปลหนังสือที่ประเทศทั้งปวง ได้ตกลงกันอย่างไร ลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ให้ลูกค้าทั้งปวงทราบ ได้สั่งการโดยละเอียดถ้วนถี่แล้ว ครั้นเมื่อร่างประกาศมาให้เราดู มีข้อความเพิ่มเติมลงไปอีก ว่าเมืองไทยเรามีแต่ข้าวเป็นสินค้า ข้าวไม่เป็นอาวุธ ไม่ต้องห้ามดังนี้ ที่เติมลงนี้ก็ประสงค์จะให้ดีเท่านั้น ใช่จะแกล้งอย่างหนึ่งอย่างใดเลย แต่หาได้ดูในหนังสือฉบับที่ให้แปลนั้นเองไม่ ว่าเขาจะกำหนดห้ามอันใด จะประกาศให้ทราบแลไม่มีกำหนดว่าจะห้ามอันใดบ้าง แลมีหนังสือพิมพ์ข่าวโทรเลข ในเวลานั้นลงออกอึงไปว่า ฝรั่งเศสจะห้ามแต่ข้าวอย่างเดียว ก็ไม่รู้เสียการวางมือไปไม่ได้อย่างนี้ ท่านเสนาบดีกรมนี้ก็นับว่าเป็นผู้มีปัญญายังชั่วกว่ากรมอื่น ๆ ยังเป็นดังนี้จะป่วยกล่าวไปไยถึงกรมอื่น ๆ เล่า เพราะเหตุอันนี้เราจึงต้องรับภาระอันหนัก โดยมิได้อยากจะขวนขวายไปรับเอามาเลย ดังเช่นกล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ถึงตัวท่านเสนาบดีเองเล่า เราก็เชื่อแน่ว่าได้รู้ตัวเหมือนกันว่า กำลังตัวเองไม่พอที่จะรับแก่การปัตยุบันนี้ได้ บางครั้งบางคราวเป็นแน่ จึงได้พากันหลบเลี่ยง ไม่ใคร่อยากเข้าที่ประชุมเลยเป็นนิจ ถ้าเข้าที่ประชุมก็ไม่พูดเสียบ้าง พาลโกรธน้อยอกน้อยใจเป็นการดูถูกดูแคลนไปบ้าง ฤาพูดออกมาแล้วการนั้นมักไม่ใคร่จะได้เป็นตามพูด เพราะความเห็นอย่างอื่นมีมากกว่า ก็เห็นเป็นคำพูดของตัวไม่มีราคาทำให้เกิดความท้อถอยเห็นเสียว่า สู้รักษาให้เป็นคมในฝักไม่ได้ เมื่อการเป็นอยู่ดังนี้ ก็เป็นเหตุที่ชวนให้คิดอยากเปลี่ยนแปลงใม่ แต่ต้องคิดอีกว่า การที่จะเปลี่ยนแปลงนั้น ในท่านสำรับเก่านี้จะทำการได้ฤาไม่ เมื่อทำการไม่ได้แล้วก็มีช่องเดียวแต่จะต้องรีไซน์ การที่มินิสเตอร์จะรีไซน์พร้อมกันมาก ๆ ซึ่งไม่เคยมีในเมืองไทยเลย จะมีเหตุผลประการใดท่านทั้งปวงก็ได้คิดชั่งคิดตวงมาแล้วทุกอย่าง แต่การที่ชั่งตวงนั้นจะถือว่า เป็นความถูกต้องมาแต่ดั้งเดิม เว้นแต่ไม่คิดนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นแต่ก่อน จะชั่งน้ำหนักอย่างนี้ไม่ได้เลย แต่ในเวลานี้เราเห็นว่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไร ๆ ก็ดี ยังเป็นที่ตะขิดตะขวงใจมากแลเป็นที่ตกใจของคนตลอดหัวเมือง ทั่วพระราชอาณาเขตไม่น้อยเลย แต่บางทีก็จะมีเหตุผลได้บ้าง แต่ที่จะเป็นใหญ่โตอันใดไปเป็นไปไม่ได้ ผู้ซึ่งนั่งอยู่นอกจากวง ก็แลเห็นว่าไม่เป็นการยากอันใด แต่ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ทำนั้นเป็นความลำบากอยู่บ้าง แต่การเรื่องนี้ก็ได้รั้งรอมานาน แลได้คิดแก้ไขอย่างอื่นมากแล้ว ก็เห็นเป็นการไม่ตลอดได้ ราชการทั้งปวงก็บีบคั้นเร่งรัดเข้า แลโอกาสที่จะจัดก็คอยโปร่ง ๆ ขึ้นทุกที เห็นเป็นเวลาที่ควรจะจัดได้ เราจึงขอบอกท่านทั้งปวงว่าการเรื่องนี้เรากำลังได้คิดจะจัดอยูทีเดียว เมื่อท่านทั้งปวงจะช่วยคิดแล้ว จงคิดการเรื่องนี้เถิด จะได้เทียบเคียงกับความคิดที่ในกรุงเทพ เลือกเอาตามภาระที่สมควรแก่บ้านเมือง
ในส่วนลิยิาเลตีฟเคานซิลนั้น เป็นการจำเป็นจะต้องมีดังเช่นเราได้กล่าวมาแล้ว แต่ไม่เป็นการง่ายเลย ที่จะหาตัวผู้ซึ่งจะเป็นการได้จริง ผู้ซึ่งจะมีปัญญาชี้เหตุการติแลชมได้นั้นมีมากคนไป แต่ไม่พ้นจากที่จะเหมือนกับชี้บอกว่า สิ่งนี้แดง สิ่งนี้ดำ สิ่งนี้ขาว ซึ่งแลเห็นอยู่แก่ตาทั่วกันแล้วอย่างนั้นเอง แต่ผู้ซึ่งจะทำให้เป็นรูปร่างอย่างใดเข้านั้น ไม่ใคร่มีตัวเลย อยู่ในไม่พ้นแล้วแต่จะโปรด ฯ ฤาถ้าทรงแล้วก็ได้ แต่ถ้าจะทรงด้วยกำลังเองไม่ไหว ให้ไปทำมาก็เปล่าทั้งนั้น นิ่งเงียบ ๆ เสียพอลืมแล้วก็กลายเป็นเพราะไม่ทรง จึ่งได้ค้าง ส่วนตัวเราเองที่ไหนไหวเพราะการออกเป็นก่ายเป็นกองดังเช่นกล่าวมาแล้ว ถ้าลิยิสเลตีฟเคานซิลที่ตั้งขึ้นใหม่ ยังเป็นอย่างนี้อยู่แลัว ไม่มีดีกว่ามีเพราะเราจะถูกตั้งชื่อว่าเป็นผู้สำหรับที่เขาจะว่าเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อันใดขึ้นอีก การเรื่องที่จะทำกฎหมาย และจะคิดการทั้งปวงในกระบวนได้เสียของกฎหมายที่จะออกไปเหล่านี้ เราเห็นว่าแต่กำลังคนไทยที่จะตั้งขึ้นเป็นลิยิสเลตีฟเคานซิล คงจะทำไม่ตลอดเป็นแน่ ด้วยการเกี่ยวข้องเจือปนกับต่างประเทศมากนัก เหลือความรู้ที่จะรู้ไปได้จริง ๆ จำเป็นจะต้องมีหมอความคนหนึ่งฤาสองคน มาเป็นที่หารือจึ่งจะทำการไปได้
การสองสิ่งนี้ รวมความก็อย่างเดียวกันคือ คอเวอนเมนต์รีฟอม นี่แหละเป็นต้นเหตุที่จะจัดการทั้งปวงได้สำเร็จตลอด ถ้าการเรื่องนี้ยังไม่เป็นการเรียบร้อยได้แล้ว การอื่น ๆ ยากนักที่จะตลอดไปได้ เพราะฉะนั้นเราจึ่งขอให้ท่านทั้งปวงคิดการเรื่องนี้ ตามที่รับมาว่าจะคิดนั้นคิด การอื่น ๆ ที่จะต้องรีฟอมบ้าง จัดขึ้นใหม่บ้างนั้น เราของดไว้พูดต่อภายหลัง ซึ่งเราพูดอธิบายถึงตัวเราเองดังกล่าวข้างต้นนั้น ใช่จะมุ่งหมายปักหน้าว่า ท่านทั้งปวงลงเนื้อเห็นเอาว่าเราเป็นดังเช่นที่ได้กล่าวมานั้นทั่วไป เราเชื่อว่าคงมีผู้รู้แน่ว่าใจเราเป็นอย่างไร แต่ที่ว่าให้ตลอดดังนี้ เพื่อว่าคนในปัตยุบันนี้ฤาสืบไปภายหน้าที่ไม่สามารถรู้น้ำใจเรา เมื่อได้ยินได้ฟังการทั้งนี้ จะเข้าใจน้ำใจของเราผิดไป จึ่งจำเป็นจะต้องว่าไว้ให้ตลอด ตามความที่เป็นจริงอย่างไรในใจของเรา

(พระราชหัตถเลขา) สยามินทร์

ปฐมบท ร.ศ.๑๑๒

  • ในยุคล่าอาณานิคม ชาติมหาอำนาจอย่างอังกฤษ และฝรั่งเศส ได้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเปิดเผย โดยอังกฤษเข้ามาทางด้านอินเดีย สู้รบกับชนชาตินักรบอย่างพม่า และสามารถยึดพม่าได้สำเร็จ ส่วนฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาบีบบังคับสยามตั้งแต่สมัย รัชกาลที่๔ ตอนปลายในปี พ.ศ.๒๔๑๐ ทำให้เราต้องยอมสละดินแดนส่วนใหญ่ของเขมร คิดเป็นเนื้อที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ต่อมาหลังจากนั้นฝรั่งเศสก็สามารถยึดญวน(เวียดนาม)ได้เป็นผลสำเร็จ
  • เป้าหมายของฝรั่งเศสนั้นอยู่ที่การยึดครองดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด ไล่ไปจนถึงแคว้นยูนนานของจีน ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ การยึดครองญวนได้นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งเศสอ้างเอาเองดื้อ ๆว่า ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงทั้งหมด เคยเป็นของญวนมาก่อน แต่ได้ถูกสยามยึดเอาไป ฝรั่งเศสจึงจะอ้างเอาสิทธิ์นั้นกลับคืนมา
  • รูปการเป็นไปตามแผนของฝรั่งเศส เมื่อต่อมา ในแคว้นสิบสองจุไท มีพวกกบฏชาวจีนหรือฮ่อ หลบหนีอพยพมาจากประเทศจีน เข้ามาก่อความรำคาญ ประพฤติตนเป็นโจร เที่ยวปล้นชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ฝรั่งเศสจึงยื่นมือส่งทหารเข้ามาช่วยสยามในการปราบฮ่อ แต่ผลพวงจากเหตุการณ์นี้เอง ทหารฝรั่งเศสเข้ามาแล้วทะลึ่งไม่ยอมถอนตัวออกไป แล้วอ้างอย่างดื้อ ๆ ตามสไตล์ว่า ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นของญวนมาก่อน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมเคลื่อนย้ายกองทหารออกไปเด็ดขาด เนื่องจากสยามต้องการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหารต่อกัน จึงต้องยอมเสียดินแดน สิบสองจุไท ซึ่งมีเนื้อที่ถึง ๘๗,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ให้กับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ นับเป็นการเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่๕


หมาป่าฝรั่งเศสกับลูกแกะสยาม
  • การกระทำของประเทศใหญ่อย่างฝรั่งเศส ที่ทำต่อประเทศเล็กอย่างสยาม ได้ถูกจับตามองโดยประเทศมหาอำนาจอย่างเช่น อังกฤษ ซึ่งได้คัดค้านฝรั่งเศสมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน อังกฤษก็กลับวางเฉย เป็นกลาง และไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแต่อย่างใด เพราะอังกฤษเองก็ต้องการผลประโยชน์ และไม่อยากทะเลาะกับฝรั่งเศสให้เสียเวลา โดยมากการคัดค้านของอังกฤษในช่วงแรกมักจะ แสดงออกผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการ์ตูนล้อเลียน เช่นรูป “หมาป่าฝรั่งเศสกับลูกแกะสยาม” ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Punch ในปี พ.ศ.๒๔๓๖ เพื่อล้อเลียนฝรั่งเศสว่าเป็น ชาติที่ดื้อดึง และคิดเอาแต่ได้ เหมือนหมาป่ากับลูกแกะในนิทานอีสป ที่มีเรื่องราวอยู่ว่า

หมาป่าฝรั่งเศสกับลูกแกะสยาม มีแม่น้ำโขง คั่นอยู่ตรงกลาง และเป็นชนวนเหตุ ของเรื่องทั้งหมด

  • “วันหนึ่ง ขณะที่หมาป่ากำลังดื่มน้ำอยู่ในลำธารอยู่นั้น มันก็เหลือบไปเห็นลูกแกะตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่เช่นกัน มันจึงวางแผนคิดจะกินลูกแกะเสียให้ได้ ว่าแล้วมันจึงเข้าไปหาเรื่องลูกแกะ และตีโพยตีพายว่า เจ้าลูกแกะน้อย เจ้ามากินน้ำในแม่น้ำนี้ ทำให้น้ำที่ข้ากินขุ่นเสียหมด เจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร ? ลูกแกะน้อยก็ตอบว่า ท่านกินอยู่ต้นน้ำ ข้าต่างหากที่ต้องกินน้ำขุ่นๆ เพราะท่าน... หมาป่าจึงหาเรื่องอีกว่า เจ้าลูกแกะน้อยเมื่อหกเดือนก่อนเจ้าแอบนินทาว่าร้ายข้าใช่ไหม ? ลูกแกะจึงตอบว่า ข้าเพิ่งเกิดได้สามเดือนจะไปนินทาท่านได้อย่างไร... หมาป่าหงุดหงิดแล้วอ้างต่อว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เคยแอบกินอาหารของข้าใช่ไหม ? ลูกแกะน้อยก็ตอบว่า ข้าได้กินแต่นมแม่ จะไปกินอาหารของท่านได้อย่างไร... หมาป่าจนปัญญา เพราะอ้างอย่างไรมันก็ผิดอยู่ดี และโดยไม่ต้องมีการเจรจาอันใดอีก หมาป่าจึงรีบกระโดดเข้าขย้ำลูกแกะลงท้อง อย่างสบายใจ เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของภาพ หมาป่าฝรั่งเศสผู้คิดเอาแต่ได้ กับลูกแกะสยามตัวน้อย ๆ ที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย”

หตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒

  • ในหนังสือ เรื่อง กรณีพิพาธระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และการรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา สมัย ร.ศ.๑๑๒ ของ พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ และ นาวาเอก สวัสดิ์ จันทนี ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเหตุการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง ท่านได้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ หากผมจะนำเหตุการณ์นี้มาเล่าซ้ำอีกครั้ง เราก็คงจะไม่รู้สักทีว่า ทำไม “ริชลิว” จึงอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ แต่จะข้ามไปเลยเสียทีเดียว ท่านผู้อ่านอีกหลาย ๆ ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจความเป็นมา และเป็นไป ดังนั้นผมจะอธิบายเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ อย่างพอเข้าใจ ดังนี้ครับ

ม.ปาวี วีรบุรุษของฝรั่งเศส สร้างวีรกรรม Mission Pavie
ทำให้เป็นที่เกลียดชังมากสำหรับชาวสยาม
ซึ่งแม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเรียกว่า “อ้าย(ไอ้)ปาวี”

  • เมื่อฝรั่งเศสได้สิบสองจุไท ไปแล้ว ก็ดำเนินแผนการต่อทันที โดยส่งนาย ม.ปาวี (M. Auguste –Jean - Marie Pavie) อดีตนักสำรวจ ผู้มีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับ ประเทศสยาม พงศาวดารเขมร และลาว เป็นอย่างดี มาเป็นราชทูตประจำกรุงเทพฯ ทำให้รัฐบาลสยามมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก นายปาวียืนยันอย่างหนักแน่นว่า ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หรือลาวล้านช้าง เป็นกรรมสิทธิ์ของญวน ฝรั่งเศสจะไม่ยอมให้สยามยึดครองต่อไปเป็นอันขาด พร้อมกับใช้ นโยบายเรือปืน บีบบังคับสยาม โดยส่งเรือรบ ลูแตง (Le Lutin) เข้ามาจอดหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ตั้งแต่ เดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๓๖ เพื่อรอฟังคำยินยอมของสยาม หลังจากนั้นก็ได้ส่งทหารบุกรุกเข้ามาในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จนเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันขึ้นในวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๓๖ ที่ แก่งเจ๊ก เมืองคำม่วน ริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ทหารฝ่ายสยามตาย ๖ คน ฝรั่งเศสตาย ๑๒ คน ในจำนวนนี้มีนายทหารชื่อ กรอสกูแรง(Grosgurin) รวมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าการปะทะกันในครั้งนี้ จะมีการสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยเทคนิคการประชาสัมพันธ์ และการสร้างกระแสข่าวของฝรั่งเศส ทำให้ฝ่ายสยามกลายเป็นฝ่ายผิด และจะต้องเป็นผู้ชดใช้ต่อการตายของทหารฝรั่งเศส

ร้อยโท กรอสกูแรง ผู้เสียสละของฝรั่งเศส

  • เหตุการณ์ชักจะบานปลายไปกันใหญ่ เมื่อฝรั่งเศสปรับเปลี่ยนยุทธวิธีจากการใช้กำลังทางบก มาเป็นการใช้กำลังทางเรือซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของสยาม ในการนี้ฝรั่งเศสมีข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น กำลังทหารเรือของสยามส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งขาดความพร้อม และประสบการณ์ ส่วนเรือรบของสยามก็มีเพียงลำเดียวที่มีศักยภาพเพียงพอ ก็คือเรือพระที่นั่งมหาจักรี ส่วนลำอื่นล้วนเป็นเรือเก่า ที่หมดสภาพไปแล้ว อีกทั้งในสัญญาเกี่ยวกับการนำเรือรบเข้ามาในสยาม ที่ทำไว้ร่วมกัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๔ มีรายละเอียดไม่ตรงกัน คือในสัญญาฉบับภาษาไทยระบุว่า ฝรั่งเศสจะนำเรือเข้ามาได้ ต้อง “ขออนุญาต” สยามก่อน ส่วนในฉบับภาษาฝรั่งเศส ระบุว่า ฝรั่งเศสจะนำเรือเข้ามาได้ ต้อง “แจ้ง” สยามก่อน เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสยืนยันที่จะส่งเรือรบเข้ามาอีกสองลำ คือเรือแองคองสตังค์ (Inconstant) และเรือโคแมต (Comete) เข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา
  • ข้างฝ่ายสยามไม่ยินยอม พร้อมกับเตรียมการป้องกันอย่างเร่งด่วน โดยมีพระยาชลยุทธโยธินทร์ “กัปตันริชริว” เป็นแกนหลักในการวางแผน ฝ่ายสยามดำเนินการปรับปรุงป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสื้อสมุทร ด้วยการติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง ขนาด ๖ นิ้วรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งสั่งซื้อมาจากประเทศอังกฤษ จัดวางกำลังทางบก และทางเรือเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศ อีกทั้งวางเครื่องกีดขวางเช่น ตาข่าย และสนามทุ่นระเบิด ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา

ปืนเสือหมอบ หรือปืนใหญ่อาร์มสตรอง ที่จัดซื้อมาจากประเทศอังกฤษ สามารถยกตัวขึ้น-ลงจากหลุมเพื่อทำการยิงได้

  • แม้ว่าต่อมาฝ่ายสยามจะสามารถเกลี้ยกล่อม ให้ฝรั่งเศสระงับการส่งเรือรบสองลำเข้ากรุงเทพฯ ได้สำเร็จ แต่ไม่ทราบชัดว่าเป็นด้วยเล่ห์กล หรือเจตนาอันใดของนายปาวี ที่ไม่ยอมส่งโทรเลขด่วนอันสำคัญนั้นให้กับผู้บังคับการเรือรบอย่างจริงจัง แต่กลับใส่ไว้ในก้นถุงไปรษณีย์ที่มาส่งในช่วง เย็นวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ ปะปนกับจดหมายทั่วไปของทหารประจำเรือ แม้ว่าผู้บังคับการเรือจะได้รับการแจ้งเตือนปากเปล่า จากนายทหารอังกฤษแล้ว แต่เมื่อไม่มีหลักฐานคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เขาจึงตัดสินใจนำเรือเข้าไป ตามแผนการที่ได้ตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วกับนายปาวี ว่าจะ เข้าไปชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นเหนือใจกลางเมืองหลวงของสยาม ให้จงได้ ในโอกาสเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศส (๑๔ กรกฎาคม)

ปืนเสือหมอบกำลังทำการยิง เรือรบฝรั่งเศส โดยมีนายทหารต่างชาติเป็นผู้ควบคุมการยิง

  • วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ เวลาประมาณ ๑๘๐๕เรือรบทั้งสองลำของฝรั่งเศสก็แล่นผ่านสันดอนเข้ามา โดยมีเรือสินค้า เจ.เบย์.เซย์. (Jean Baptist Say) เป็นเรือนำร่อง ปืนใหญ่ในป้อมพระจุลจอมเกล้ายิงเตือน แต่เรือฝรั่งเศสไม่ยอมหยุด ในที่สุดก็เกิดการยิงปะทะกัน เรือ เจ.เบย์.เซย์. ถูกยิงเกยตื้น แต่เรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมต ยังคงแล่นฝ่าดงกระสุน ผ่านเรือรบสยาม และเครื่องกีดขวางต่าง ๆ ต่อไปได้จนถึงกรุงเทพ และเทียบท่าหน้าสถานทูตฝรั่งเศส กัปตันริชลิว ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ การป้องกันประเทศจึงคิด จะนำเรือพระที่นั่งมหาจักรี พลางไฟมืดแล้วเข้าพุ่งชน เรือฝรั่งเศสให้จมลง แต่กระทรวงการต่างประเทศได้ห้ามไว้ และตกลงที่จะเจรจาอย่างสันติกับฝรั่งเศส

เรือรบฝรั่งเศส ๓ ลำ แองคองสตังค์ โคแมต และลูแตง จอดเรือกดดันสยามอยู่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ริมท่าน้ำสี่พระยา
  • การเจรจาล่วงเลยไปไปหลายสิบวัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ ฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดพร้อมกับยกกองเรือเข้ามาอีก ๙ ลำ เพื่อปิดปากอ่าวเตรียมการโจมตีสยาม อย่างที่เคยทำกับญวน เพื่อมิให้เหตุการณ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สยามจึงจำต้องยอมรับคำขาดของฝรั่งเศสดังนี้
  1. ให้สยามยอมรับว่าดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเกาะต่าง ๆ ในลำน้ำนี้ เป็นของฝรั่งเศส
  2. ให้สยามถอนกำลังทหารออกจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงภายใน ๑ เดือน
  3. ให้เสียค่าปรับให้แก่ฝรั่งเศส ในกรณีทุ่งเชียงคำ และคำม่วน และกรณีที่ปากน้ำ
  4. ให้ลงโทษผู้กระทำผิด และจ่ายเงินให้กับครอบครัวของผู้เสียหายตามข้อ ๓
  5. ให้จ่ายค่าเสียหายแก่ฝรั่งเศส จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังค์
  6. ให้จ่ายเงินมัดจำ ค่าเสียหายตามข้อ๓ ,๔ และ๕ จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังค์ เป็นเงินเหรียญ โดยทันที ถ้าหากจ่ายไม่ได้ก็ต้องยอมให้ฝรั่งเศสเก็บภาษีในเมืองพระตะบอง และเสียมราฐ

ทหารฝรั่งเศสขนเงินเหรียญ จำนวนสามล้านฟรังค์ ไปไว้บน เรือลูแตงเพื่อเดินทางไปไซ่ง่อน ใช้เวลาในการขนเป็นวัน ๆ และนับกันไม่ไหวจนต้องใช้วิธีการชั่งเอา คิดเป็นน้ำหนักได้ถึง ๒๓ ตัน นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใช้แลกกับความเป็น “ไท” ของสยามประเทศ
  • เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ทำให้เราเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ ๓ คิดเป็นพื้นที่ ๑๔๓,๘๐๐ ตารางกิโลเมตร แต่ผลพวงจากความสูญเสียยังไม่จบลงเท่านี้ เนื่องจากฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบุรีเอาไว้ โดยอ้างว่า เพื่อเป็นหลักประกันว่าสยามจะปฏิบัติตามสัญญาครบทุกข้อ
  • แม้ว่าสยามจะปฏิบัติตามสัญญาได้ครบทุกข้อแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมย้ายออกไป จนเวลาผ่านไปนับสิบปี สยามจึงต้องขอแลกดินแดนจันทบุรี โดยยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามหลวงพระบาง รวมทั้ง มโนไพร และจำปาศักดิ์ ให้กับฝรั่งเศส เราจึงได้จันทบุรีคืนในปี พ.ศ.๒๔๔๗ แต่เสียดินแดนอีกครั้ง เป็นพื้นที่ ๖๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร
  • หมาป่าฝรั่งเศสยังใช้ลูกไม้เดิมคือ ถอยออกจากจันทบุรี แต่กลับไปยึดเมืองตราดแทน รวมทั้งเกาะทั้งหลายใต้แหลมลิงไปจนถึงเกาะกูด สยามจึงจำต้องขอแลกเอาดินแดนส่วนนี้คืน โดยยอมยกดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศสในปี พ.ศ.๒๔๕๐ คิดเป็นเนื้อที่ ๕๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร
  • กรณีพิพาท ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ นับได้ว่าเป็นหายนะสำหรับชนชาติสยาม อย่างแท้จริง การที่เราสามารถรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ อันเลวร้ายนี้ได้ ก็ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงหาทางออก และแก้ไขปัญหา ด้วยกุศโลบายต่างๆ เช่น นโยบายลู่ตามลม นโยบายถ่วงดุลอำนาจ และนโยบายซ้อนพันธมิตร ประเทศสยาม และประชาชนของพระองค์ จึงเป็นเพียงชาติเดียวในภูมิภาคนี้ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาติมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมทั้งหลายได้สำเร็จ


พระบรมรูปรัชกาลที่๕ และพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่๒ แห่งรัสเซีย ถ่าย ณ วังปีเตอร์ฮอฟ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๐ การที่สยาม และรัสเซียเป็นมิตรประเทศกันนั้น ได้สร้างความกดดันอย่างหนักให้กับฝรั่งเศส และทำให้การรุกของฝรั่งเศสต้องหยุดชะงักลง เป็นหนึ่งในกุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เกร็ดความรู้

พระนางเรือล่ม

พระนางเรือล่มสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือ พระนางเรือล่ม ทรงเป็นพระมเหสีเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าหัวกับเจ้าจอมมารดาเปี่ยม ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๓ พระอิสริยยศเมื่อแรกประสูตินั้นคือ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี เสด็จทิวงคตเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๓ เนื่องจากอุบัติเหตุเรือล่ม ที่ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในระหว่างทางเสด็จ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น